ซิตี้แบงก์ถูกฟ้องเรื่องสูญเงิน 20 ล้านดอลล์

การสูญเสียดิจิทัลครั้งใหญ่

ผมยอมรับว่าเมื่อแรกได้ยินข่าวฟ้องซิตี้แบงก์ ผมคิดในใจ: ‘นี่จริงๆ แล้วเกี่ยวกับคริปโตหรือแค่ความผิดพลาดของธนาคาร?’ ปรากฏว่ามันทั้งสองอย่าง ชายคนหนึ่งฟ้องธนาคารหลังสูญเงินไปกว่า 20 ล้านดอลลาร์ จากแผนปล้นแบบ ‘Pig Butchering’ โดยเจอผู้หญิงปลอมบนเฟซบุ๊ก และถูกหลอกลงทุนในแพลตฟอร์ม NFT กับบริษัทปลอมชื่อ OpenrarityPro เมื่อรู้ตัวอีกทีเงินหายไปในกระเป๋าคริปโตหลายแห่ง แต่ประเด็นสำคัญคือ: ซิตี้แบงก์ดำเนินการโอนเงินที่น่าสงสัยถึง 12 รายการรวมกว่า 4 ล้านดอลลาร์ โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ

เหตุผลทำไมธนาคารถึงหมดศักยภาพ

ผมไม่ได้บอกว่าธนาคารผิดบาป หากแต่มันช้าเกินไป — เหมือนโค้ชฟุตบอลยึดแผนเดิมๆ ในขณะที่เกมเปลี่ยนไปใช้ AI ไม่ใช่แค่วางแผนตรวจจับฉ้อโกงเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจพฤติกรรมในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง การโอนเงินจากอังกฤษไปยัง Ethereum Address โดยมีจำนวนมากกว่ารายได้มหาชนหลายเท่าควรจะกระตุ้นระบบเตือนภัย — และกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การละเลยคืออาชญากรรมจริง

ผู้ฟ้องไม่ได้อ้างว่าซิตี้แบงก์เป็นผู้วางแผนฉ้อโกงโดยตรง เขาเรียกร้องให้มีการรับผิดชอบในฐานะผู้ดูแลทางการเงิน ในทางกฎหมาย: การประมาทอย่างร้ายแรง ลองคิดดู: ธุรกิจขนาดใหญ่มาก มีทรัพยากรมหาศาล พาหนะตรวจจับความเสี่ยงกลับมองข้ามสัญญาณแจ้งเตือนเด่นชัดขนาดนี้?

เมื่อกฎระเบียบเผชิญความเป็นจริง (และล้มเหลว)

หน่วยงานกำกับดูแลเรียกร้องให้ธนาคารเสริมมาตรการ AML/KYC เพื่อคริปโตมาตั้งแต่ปี 2021 และแม้ว่ายังคงขาดประสานงานในการตรวจสอบข้ามพรมแดน โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหวผ่านเครือข่ายเช่น Monero, Tornado Cash ซิตี้แบงก์อ้างว่าปฏิบัติตามแนวทาง FinCEN และหน่วยงานอื่น ๆ — เพียงแค่อ้างตามกฎไม่เพียงพอหากกฎเหล่านั้นไม่สามารถตามทันเทคนิกใหม่ของการหลอกคนโดยใช้อารมณ์และเทคโนโลยีคลุมเครือ

จะแก้อย่างไร?

เราควรถอยจากการโทษสถาบันแบบเลียนแบบ คนเราก็พลาดแม้ว่าจะทำงานในสภาพแวดวงข้อมูลรวดเร็วและเสียงรบกวนสูง แต่อย่าปล่อยให้มือมนุษย์เป็นเพียงตาเดียวในการเฝ้าระวัง เราควรรวม AI กับการตรวจสอบโดยมนุษย์โดยเฉพาะสำหรับพฤติกรรมแปลกประหลาดนี้ เช่น การใช้วิเคราะห์คาดการณ์จากกรณี ‘Pig Butchering’ มาหลายพันกรณีแทนการประเมินธุรกรรมเหมือนใครบางคนจาก Leeds สั่งซื้อถุงเท้าออนไลน์